Welcome to MNYTECHNIC & SUPPLY.

ที่อยู่ 300/15 หมู่ 7 ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี 20160

Categories
Uncategorized

น้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมสาเหตุและวิธีแก้ ทำตามง่าย

น้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมสาเหตุและวิธีแก้ ทำตามง่าย

รู้สาเหตุของน้ำแอร์หยด วิธีแก้ไขที่ทำได้เอง พร้อมไขข้อสงสัยว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม สามารถเปิดใช้งานขณะที่น้ำยังหยดอยู่ได้หรือไม่

ถ้าตอนนี้ที่บ้านของคุณกำลังใช้ถังมารองน้ำแอร์หยดอยู่ล่ะก็…บทความนี้ทางเซฟไทยจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุ และไขข้อสงสัยว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างทันที แถมเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

แม้ว่าก่อนหน้านี้เวลาที่เราประสบปัญหาเกี่ยวกับน้ำแอร์หยด สิ่งแรกที่สงสัยคือน้ำแอร์หยด อันตรายไหม และต่อมาเราอาจจะรีบติดต่อช่างแอร์ผู้เชี่ยวชาญมาแก้ไขซ่อมแซมอย่างเร็วที่สุด แต่หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ บางทีคุณแทบจะสามารถสังเกตอาการและรู้สาเหตุของปัญหานี้จนจัดการแก้ไขมันได้อย่างคาดไม่ถึงด้วยตนเองเลยก็ได้ จะทำได้อย่างไรตามไปดูกันเลย

สาเหตุของน้ำแอร์หยด มีอะไรบ้าง

  1. น้ำแอร์หยดเพราะถาดน้ำทิ้งชำรุด

เมื่อสังเกตแล้วว่ามีน้ำแอร์หยด ลองตรวจสอบถาดรองน้ำทิ้งว่าชำรุด รั่ว แตกหักอยู่หรือเปล่า เพราะถาดรองน้ำทิ้งจะรองรับน้ำเอาไว้ หากเกิดการรั่วซึมขึ้นมาจะทำให้น้ำแอร์หยดได้ รวมไปถึงถ้าแอร์มีฝุ่นตกค้างในเครื่องอยู่มากจนไปสะสมในถาด และไหลไปที่ท่อน้ำทิ้งของถาดก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตัน ไม่สามารถระบายน้ำออกมาได้ แล้วต้องไหลย้อนกลับมาที่หน้าเครื่องและเกิดเป็นน้ำแอร์หยดได้นั่นเอง นอกจากนี้ควรต้องเช็กด้วยว่าถาดรองมีการเคลื่อนที่หรือติดตั้งอย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะนี่เองก็เป็นสาเหตุของน้ำแอร์หยดได้เช่นกัน

วิธีแก้ไข

– ก่อนจะถอดถาดน้ำทิ้งออกมา ควรสับเบรกเกอร์ลง เพื่อความปลอดภัย

– นำภาชนะมารองน้ำที่หยดเอาไว้ก่อน

– นำถาดรองน้ำออกมาทำความสะอาด และฉีดน้ำไล่ฝุ่นที่ท่อน้ำทิ้ง เพื่อไม่ให้อุดตัน

กรณีที่ทำความสะอาดแล้วยังมีน้ำแอร์หยดอยู่ ให้ตรวจสอบว่าถาดน้ำทิ้งมีรอยแตก รอยร้าว หรือชำรุดอยู่หรือไม่ ถ้ามีแนะนำให้เปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าไม่มี ลองดูอีกครั้งว่าประกอบถาดน้ำทิ้งเข้าไปถูกต้องไหม ลงล็อกแน่นพอดีหรือยัง เพราะหากใส่ถาดไม่พอดี น้ำแอร์จะยังหยดอยู่เหมือนเดิม

  1. ถ้าท่อน้ำทิ้งอุดตันก็น้ำแอร์หยดได้

เมื่อเราใช้งานแอร์ไปสักพักและไม่มีการล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน จะทำให้แอร์มีฝุ่นสะสมกันอยู่ที่ท่อน้ำทิ้งจนเกิดการอุดตัน และที่สำคัญถ้าเดินท่อน้ำทิ้งไว้ไม่ดี เช่น ท่อน้ำทิ้งยาวเกินไป การห่อหุ้มไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถส่งผลให้น้ำแอร์หยดได้ง่าย

วิธีแก้ไข

– ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนท่อน้ำใหม่

– ล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน

  1. แผ่นกรองอากาศสกปรก ต้นเหตุของน้ำแอร์หยด

ชิ้นส่วนสำคัญอย่างแผ่นกรองอากาศมักเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำแอร์หยด หากไม่ได้ทำการล้างแอร์อย่างเป็นประจำ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แผ่นกรองอากาศมีฝุ่นสะสมกันมากจนเกินไปจนเกิดการอุดตัน นอกจากจะส่งผลให้น้ำแอร์หยดแล้ว เรายังรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการอุดตันจนน้ำไม่สามารถระบายออกมาได้ จนเกาะตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ข้างใน และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งจึงละลายเป็นหยดน้ำออกมานั่นเอง

วิธีแก้ไข

– ควรล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน

  1. น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอก็ส่งผลให้น้ำแอร์หยดได้

ไม่บ่อยนักที่สาเหตุของน้ำแอร์หยดจะมาจากการที่น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากเริ่มรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นหรือเย็นช้าลง โดยสังเกตได้จากพัดลมของคอยล์ร้อนนอกห้อง ถ้ามีลมร้อนออกมา หมายความว่า อยู่ในระดับปกติ แต่ถ้าเป็นลมปกติ ไม่มีลมอุ่น/ร้อน แสดงว่า น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ

วิธีแก้ไข

– เติมน้ำยาแอร์ โดยทั่วไปน้ำยาแอร์มี 3 ประเภท ได้แก่ R22 สารทำความเย็นรุ่นเก่า ใช้กับเครื่องปรับอากาศในบ้านทั่วไป, R32 สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายโอโซน ลดโลกร้อน และ R410A สารทำความเย็นรุ่นใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงาน

– การเติมน้ำยาแอร์สามารถแก้ไขได้เพียงเบื้องต้น ซึ่งแนะนำให้ปรึกษาช่างแอร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบว่ามีรอยรั่วซึมของน้ำยาแอร์หรือไม่

  1. น้ำแอร์หยดอาจมาจากจุดที่ติดตั้งแอร์ที่ไม่เหมาะสม

การติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้มาตรฐานโดยช่างผู้ชำนาญ อาจมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น การเดินท่อน้ำทิ้งยาวเกินไป ไม่ได้องศา เก็บงานพันเทปละเอียดไม่มากพอ เป็นต้น ซึ่งเราจะรู้ตัวอีกทีก็ติดตั้งเสร็จจนใช้งานไปแล้วสักระยะหนึ่ง

วิธีแก้ไข

– เลือกติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่เหมาะสม เลี่ยงบริเวณที่แสงแดดส่องทั้งวัน ประตูเข้า-ออก เป็นต้น

– หากติดตั้งแอร์ไปแล้วสามารแก้ไขด้วยการติดผ้าม่านหรือติดฟิล์มกันความร้อน ที่บริเวณมีแดดส่อง หน้าประตู

ไขข้อสงสัย น้ำแอร์หยด อันตรายไหม

ช่วงแรกที่น้ำแอร์หยดเชื่อว่าหลายคนคงแค่หงุดหงิดและปล่อยมันทิ้งไว้ แต่หากละเลยให้น้ำแอร์หยดต่อไปในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับฝ้า เพดาน กำแพง ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มีโอกาสเสี่ยงเกิดไฟช็อตได้ด้วย จนในที่สุดแอร์ก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจนต้องซ่อมแซมใหญ่โตหรือเปลี่ยนใหม่กันเลยทีเดียว ดังนั้น ปัญหาน้ำแอร์หยดจึงไม่ควรปล่อยเอาไว้เนิ่นนาน ควรรีบแก้ไขให้ไวที่สุด

น้ำแอร์หยดแบบนี้จะเปิดแอร์ได้ไหม?

อย่างที่เรารู้กันว่าสาเหตุของน้ำแอร์หยดนั้นเกิดได้หลากหลายมาก หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า เช่น รอเปลี่ยนถาดน้ำทิ้ง ก็สามารถเปิดแอร์ได้ตามปกติ เพียงแต่อย่าลืมเอาถังมารองน้ำที่หยดจากแอร์ด้วย ส่วนถ้าสาเหตุของน้ำแอร์หยดเป็นเรื่องระบบไฟฟ้า ควรงดการเปิดใช้งานไปก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้งดใช้งานแอร์ที่มีอาการน้ำหยดไปก่อนจะดีที่สุด เพราะการที่แอร์ทำงานขณะที่มีน้ำหยด เสี่ยงต่อโอกาสการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้

 

ได้รู้คำตอบกันไปแล้วว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมกับสาเหตุและวิธีแก้ไขฉบับเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองก่อน แต่ถ้าหากลองทำตามดูแล้ว ยังไม่หายเป็นปกติ แนะนำให้ติดต่อช่างแอร์เพื่อเช็กปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุด และที่สำคัญคือควรล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุก 6 เดือน จะช่วยป้องกันอาการน้ำแอร์หยด พร้อมดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป

Cr. https://safesavethai.com/articles/น้ำแอร์หยด-อันตรายไหม/

Categories
Uncategorized

ฝนตกเปิดแอร์โหมดไหน อากาศเย็นสบาย ลดความชื้นในห้อง

ฝนตกเปิดแอร์โหมดไหน อากาศเย็นสบาย ลดความชื้นในห้อง

เปิดแอร์โหมดไหนดี เย็นฉ่ำในหน้าฝน

 
 

เครื่องปรับอากาศนับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้เลยภายในบ้าน เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดอบอ้าวแทบตลอดทั้งปี โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้มักจะเลือกเปิดแอร์แบบไม่ได้สนใจเรื่องโหมดที่ปรากฎบนรีโมทแอร์ แต่ทราบหรือไม่ว่านอกเหนือจากการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่เต็มไปด้วยคุณภาพ การปรับโหมดแอร์ยังมีความสำคัญต่อการทำความเย็นอย่างมาก ช่วยเปิดแอร์ให้เย็นเร็วขึ้น ทั้งยังอาจช่วยให้คุณประหยัดไฟ จัดการฝุ่น PM2.5 หรือลดความชื้นภายในห้องจากช่วงหน้าฝนได้

เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟ เหมาะสำหรับหน้าฝน

 
 

โดยปกติแล้วเครื่องปรับอากาศจะมีโหมดการทำงานหลัก ๆ ที่น่าสนใจอยู่ 4 โหมด แต่ละโหมดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

• Auto Mode

 
 

เปิดแอร์โหมด Auto เป็นการเปิดโหมดที่ได้รับความนิยมกันมาก เนื่องจากสามารถทำความเย็นได้อย่างอัตโนมัติ ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก โดยเครื่องปรับอากาศจะควบคุมอุณหภูมิเป็นไปตามที่ตัวเครื่องได้กำหนดไว้ ซึ่งจะควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ขณะที่บางครั้งยังตัดพัดลมในตัวเครื่องด้วยเมื่อถึงอุณหภูมิที่ต้องการ ส่งผลให้เป็นโหมดเปิดแอร์ประหยัดไฟรูปแบบหนึ่ง

• Cool Mode

 
 

ด้วยรูปลักษณ์เกร็ดหิมะของโหมด Cool จึงไม่น่าแปลกใจที่กลายเป็นอีกโหมดยอดนิยม โดยโหมดนี้จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานเพื่อนำความเย็นเข้ามาสู่ห้อง เมื่อเครื่องปรับอากาศสัมผัสได้ว่า อุณหภูมิถึงระดับที่ต้องการ ตัวคอมเพรสเซอร์จะหยุดทำงาน ขณะที่ส่วนของพัดลมจะทำงานต่อไป ซึ่งนับเป็นโหมดที่ใช้พลังงานค่อนข้างสูง เนื่องจากยิ่งเซตอุณหภูมิต่ำ ระยะเวลาการทำงานของคอมเพรสเซอร์ก็ยิ่งนานขึ้น

• Fan Mode

 
 

สำหรับโหมด Fan หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า โหมดพัดลม จะเป็นการตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะใช้งานเพียงส่วนของพัดลมเพื่อหมุนเวียนอากาศภายในห้องเท่านั้น สามารถช่วยลดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ออกไปได้ แต่จะไม่ทำความเย็นให้กับภายในห้อง

• Dry Mode

 
 

แอร์โหมด Dry สัญลักษณ์เป็นรูปหยดน้ำ นับเป็นโหมดที่ออกแบบมาสำหรับหน้าฝน เนื่องจากสามารถดูดความชื้นภายในอากาศได้ ช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัดกับอากาศภายในห้อง แต่จะไม่ทำความเย็นได้ดีเหมือนกับโหมด Cool ซึ่งนับว่าเป็นโหมดที่ดีต่อการใช้งานช่วงฝนตกและอากาศไม่ได้ร้อนจัดมากนัก สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าหน้าฝนควรเปิดแอร์โหมดไหนดี แอร์โหมด Dry ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานหน้าฝน โดยมีส่วนช่วยควบคุมความชื้นภายในห้อง มอบความเย็นสบายได้อย่างตรงใจ

เทคนิคการเลือกซื้อแอร์ยุคใหม่

 
 

การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ นอกจากเป็นการได้แอร์ที่ช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิให้เย็นฉ่ำแล้ว ยังสามารถช่วยคุณให้ประหยัดเม็ดเงินได้มากขึ้น สามารถสูดอากาศได้อย่างชุ่มปอดไร้ฝุ่น โดยมีแนวทางน่าสนใจ ดังนี้

 
 
 
 
 

เปิดรีโมทแอร์

เลือกแอร์ที่เหมาะสมช่วยให้เย็นได้ยาวนาน

• เลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้อง

 
 

การเลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้องนับเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากส่งผลต่อความเย็นโดยตรง ซึ่งหากห้องใหญ่เกินไป อาจส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและทำความเย็นได้ไม่เหมาะสมกับขนาดห้อง จนเกิดปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลม คำนวนตามสูตรได้ ดังนี้

(กว้าง x ยาว) xตัวแปร = BTU

 
 

 

*โดยตัวแปรดู คือ ห้องปกติไม่โดนแดด ห้องนอน = 750 ห้องทำงาน = 850 ส่วนห้องที่รับแดดเปลี่ยนค่าเป็น ห้องนอน = 800 ห้องทำงาน = 900

 

 

ตัวอย่าง ความกว้าง = 5 ความยาว = 6 ตัวแปรเป็นห้องนอนที่โดนแสงแดด = 800

(5 x 6) x800 = 24,000 BTU

 
 
 

• เครื่องปรับอากาศที่มีเทคโนโลยีพิเศษ

 
 

เครื่องปรับอากาศในยุคปัจจุบันค่อนข้างมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมฟังก์ชั่นกันจำนวนมาก ซึ่งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการใช้งานคือสิ่งที่สมควรทำ ตัวอย่างเช่น ระบบ Dual Inverter ที่ช่วยให้แอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึง 40% และประหยัดพลังงานได้มากถึง 70% นับเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่เจอปัญหาค่าไฟที่แพงขึ้นช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

• ไม่สะสมเชื้อโรคและช่วยลดฝุ่นละออง

 
 

การเลือกเครื่องปรับอากาศ นอกจากช่วยเรื่องแอร์ที่เย็นฉ่ำแล้ว ควรเลือกแอร์ประเภทที่ช่วยดักจับฝุ่น PM2.5 ไม่เป็นจุดสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่เจอปัญหาจากฝุ่นภายนอกห้อง สูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มที่

Cr. https://www.lg.com/th/blog-list/air-conditioner-mode-rainy-season/

Categories
Uncategorized

7 วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด

7 วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด เพราะแบบนี้ไงเลยจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม

การใช้แอร์แบบผิด ๆ ว่าทำแบบนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและจ่ายค่าไฟมากกว่าเดิม มาดูกันว่าเผลอทำไปบ้างหรือเปล่า แล้วจะแก้ไขยังไงดี

          เข้าหน้าร้อนทีไรค่าไฟพุ่งกระฉูดทุกที แต่อากาศร้อนซะขนาดนี้ไม่ให้เปิดเครื่องปรับอากาศเลยก็ไม่ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วที่ค่าไฟแพงหูฉี่อาจไม่ได้เป็นเพราะเปิดแอร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการใช้แอร์แบบผิด ๆ ที่เผลอไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมมาฝากให้หายคาใจว่าการใช้แอร์แบบไหนที่ทำให้เปลืองพลังงานและต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม แล้วจะประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อนได้อย่างไรบ้าง ถ้าจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทุกวันแบบนี้

วิธีใช้แอร์

1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน

          หลาย ๆ คนยังใช้แอร์เก่า ๆ ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเห็นว่ายังใช้ได้อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกจะยังดูดี แต่ระบบภายในก็เสื่อมไปตามระยะเวลาในการใช้งาน โดยเฉพาะแอร์เก่า ๆ ที่ใช้งานมานานเกิน 15 ปี ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงแพงแล้ว ยิ่งใช้ยิ่งกินไฟอีกต่างหาก ดังนั้นแทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศในตอนนี้ก็มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแถมยังมีฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากขึ้นด้วย

2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี

          นอกจากนี้บางคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำเครื่องทำงานหนักและกินไฟ เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดของห้อง โดยคำนวนจากสูตร
   
          พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม

          การประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง มีดังต่อไปนี้ ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร, ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร, ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร, ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร, ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร และห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร

          ทั้งนี้สูตรคำนวณค่า BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานไม่เกิน 3 เมตร หากเป็นห้องที่มีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของห้อง ทิศทางของแดด เครื่องใช้ไฟฟ้า และจำนวนผู้อาศัย จะต้องบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นด้วย
3. ไม่เช็กตำแหน่งก่อนติดตั้ง

          ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ก็สำคัญ เพราะหากติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักและประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง โดยพื้นที่ที่ติดตั้งแอร์ควรเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของบังทางลม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมุมอับ การติดตั้งแอร์บนผนังบ้านที่รับแสงแดดจัดหรือทิศตะวันตกเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนัก รวมถึงไม่ติดตั้งแอร์บริเวณใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง เนื่องจากจะทำให้ความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่อากาศภายในได้ง่าย

4. เปิดแอร์พร้อมพัดลมทำให้เปลืองไฟ

          บางคนอาจจะคิดว่าการเปิดพัดลมพร้อมกับแอร์ทำให้เปลืองไฟ ซึ่งจริง ๆ แล้วเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟควรเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วย จะทำให้ห้องเย็นขึ้นและช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งมีทริกง่าย ๆ เริ่มจากปรับแอร์ไปที่ 25-27 องศาเซลเซียส แล้วเปิดพัดลมไปพร้อม ๆ กัน พัดลมก็จะช่วยกระจายลมเย็นให้ทั่วห้อง และช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้อีก 1-2 องศาเลยทีเดียว

5. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น

          หลายคนคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เพราะไม่ว่าตั้งให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน ก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอ ๆ กันกับการตั้งอุณหภูมิปกติอยู่ดี ทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่า
6. อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด

          แม้ว่าการตั้งอุณหภูมิ 25 องศา จะช่วยประหยัดไฟ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วควรใส่ใจดูแลรักษาตัวเครื่องไปพร้อมกัน โดยหมั่นตรวจเช็กระบบและทำความสะอาดเแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

7. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า

          แม้จริง ๆ แล้วการเปิดแอร์ค้างไว้หลายชั่วโมงติดต่อกันจะเปลืองไฟมากกว่า แต่การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ส่งผลเสียกับตัวเครื่องไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องทำงานหนักและอายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

          แม้ว่าบ้านของคนไทยจะมีแอร์กันแทบทุกหลัง แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเข้าใจผิดอยู่ดี ฉะนั้นถ้าหากไม่อยากพลาดใช้แอร์ไม่ถูกวิธี จนเป็นเหตุทำให้เปลืองไฟและเปลืองพลังงานละก็ รีบแก้ไขด่วน ๆ เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก gharpediaeffic, ientsystems, homequicks, สถาบันพลังงาน มช., powerbuy, รวมพลังหาร 2
Categories
Uncategorized

เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม

เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม

ค่าไฟกำลังจะปรับเพิ่มขึ้นอีกแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้ ประกอบกับอากาศอุณหภูมิสูงขึ้น แอร์ทำงานหนักขึ้น ค่าไฟย่อมสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากเป็นไปได้ ทีมงานบ้านไอเดียขอเสนอให้หันมาปลูกต้นไม้บังแสงแดด ออกแบบบ้านคำนึงถึงกฏเกณฑ์ธรรมชาติ ใช้วัสดุกันความร้อน หลักการเหล่านี้สามารถลดค่าไฟได้จริงอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังทำให้บ้านเย็นสบายอีกด้วย แต่อาจไม่ทันใจหลายท่านเท่าไหร่นัก เพราะเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ เพียงแค่กดปุ่มไม่กี่นาที ก็เย็นชื่นใจกันแล้ว เป็นธรรมดาของมนุษย์เรา ที่มักหันมาพึ่งพาสิ่งที่แก้ปัญหาได้โดยทันที มากกว่าวิธีที่ยั่งยืนได้ผลช้า แถมยังยุ่งยากเหนื่อยแรงอีกด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆ ปรับแก้กันไป ค่อยๆ ทำความเข้าใจและปรับใช้กันให้มากขึ้น สักวันหนึ่ง เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ย่อมต้องหันมาใช้วิธียั่งยืนอย่างแน่นอน

      ทั้งหมดที่เกริ่นมานี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่า ให้เลิกใช้แอร์ แต่ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า ยังมีอีกหลายวิธี ที่จะช่วยเสริมให้บ้านเย็นและเราสามารถใช้ควบคู่กับแอร์ได้ ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายภายในบ้านได้อีกด้วย สำหรับวันนี้ “บ้านไอเดีย”​นำวิธีลดค่าไฟแอร์มาฝาก เพื่อให้ได้ใช้พลังงานทุกหน่วยอย่างคุ้มค่าให้ถึงที่สุดกันครับ โดยจะแบ่งไว้สองส่วนหลัก และ 10 ข้อย่อย ดังนี้

การเลือกซื้อและติดตั้ง

  • ติดตั้งแอร์ให้ถูกตำแหน่ง ตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งนั้น ควรเป็นตำแหน่งที่สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึงโดยไม่มีอะไรมาบดบังทิศทางลม กรณีเป็นห้องนอน อาจให้อยู่ปลายเตียง ข้างเตียง แต่ไม่ควรใกล้หรือสูงจนเกินไป เพราะจะกลายเป็นนอนใต้แอร์​ ซึ่งทำให้ลมเย็นพัดข้ามผ่าน และไม่ไกลจนเกินไป เพราะระยะทางทำให้ความเย็นลดลง ผู้ใช้จำเป็นต้องปรับอุณหภูมิแอร์ที่ตำกว่าปกติ ส่งผลให้เปลืองค่าไฟได้ ทิศทางของผนังก็มีผลต่อการทำความเย็น หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงติดตั้งแอร์ในทิศทางที่โดนแสงแดดโดยตรงเพราะจะส่งผลให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติในช่วงกลางวัน
  • เลือก BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง ขนาด BTU ที่ต่ำ ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่า จะทำให้ประหยัดค่าไฟ ความเหมาะสมเท่านั้น ที่จะสามารถประหยัดได้ดีที่สุด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : การคำนวณ BTU กับขนาดของห้อง
  • ปกปิดอย่างมิดชิด หลักการทำความเย็นของแอร์ จะคอยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ตามที่ผู้ใช้ได้กำหนดค่าอุณหภูมิไว้ หากห้องดังกล่าวอยู่ในลักษณะเปิด ความเย็นภายในจะออกสู่ภายนอก ทำให้แอร์ทำงานหนักตลอดเวลา ควรปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิด ติดผ้าม่านหนาๆ หากชอบหน้าต่างกระจก แนะนำให้ใช้กระจกฟิล์มดำ กระจกป้องกันความร้อน หากห้องมีขนาดกว้างมาก อาจใช้ผ้าม่านกั้นแอร์ มาเป็นฉากกั้นห้อง ก็สามารถช่วยควบคุมได้ระดับหนึ่ง
  • ติดตั้งคัทเอาท์แยกสำหรับแอร์ : โดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักนิยมปิดแอร์ด้วยรีโมทเพียงอย่างเดียว หลายท่านอาจไม่ทราบว่า แม้จะปิดแอร์แล้ว แต่ระบบไฟฟ้ายังคงทำงานอยู่ แม้จะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ไม่มากก็ตาม การปิดคัทเอาท์ จะเป็นการปิดการทำงานแอร์อย่างสมบูรณ์ แม้จะลดพลังงานไปเพียงนิด แต่ก็ทำให้ลดลงได้ครับ อีกทั้งยังมีกรณีศึกษา แอร์บางรุ่น จะมีระบบรีเซ็ทอัตโนมัติ เช่น กรณีไฟฟ้าดับ หลังจากไฟฟ้าติดปกติ แอร์จะเปิดการทำงานขึ้นเองอัตโนมัติ หากผู้ใช้ไม่อยู่บ้าน กรณีไม่ปิดคัทเอาท์ แอร์อาจทำงานอัตโนมัติได้ครับ ทั้งนี้การฝึกปิดคัทเอาท์ให้ติดเป็นนิสัย ยังช่วยส่งผลให้ผู้ใช้ รู้จักปิดและถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เป็นพฤติกรรมติดตัวไปอีกด้วย

การใช้งานอย่างถูกวิธี

  • ถ่ายเทอากาศ : ก่อนเข้าห้อง หากเป็นช่วงยามเย็น แนะนำให้เปิดประตู เปิดหน้าต่าง ทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศหมุนเวียน ไล่ลมร้อนภายในห้องออก รับลมใหม่จากภายนอกเข้า
  • เปิดแอร์ในอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศา ประมาณ 26-28 องศาได้ยิ่งดี เพราะโดยปกติแล้ว ร่างกายของมนุษย์ จะสามารถรับความเย็นระดับ 27 องศาได้อย่างสบายตัว ไม่หนาว ไม่ร้อนจนเกินไป แต่หากรู้สึกร้อน อาจปรับมาสัก 26 องศา และหากรู้สึกเย็น สามารถปรับขึ้นได้ ยิ่งปรับขึ้นยิ่งประหยัด แต่ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นจนรู้สึกร้อน เพราะจะเป็นการใช้แอร์ผิดวัตถุประสงค์
  • หากต้องการประหยัดมากกว่าเดิม อาจปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้วใช้เทคนิคพัดลมช่วย พัดลมจะสามารถช่วยพัดความเย็นได้อย่างดีขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องปรับอุณหภูมิให้ต่ำมากนัก โดยปกติแล้วพัดลมจะใช้พลังงานน้อยกว่าแอร์หลายเท่า แม้จะเปิดพัดลม 10 ตัว ก็ยังใช้พลังงานน้อยกว่าแอร์เพียง 1 ตัว
  • ใส่เสื้อผ้าบาง ในช่วงหน้าร้อน การใส่เสื้อผ้าบางๆ ช่วยคลายความร้อนได้ดี ทั้งในช่วงเวลาปกติ และในช่วงของการนอน เสื้อผ้าบางๆ ช่วยให้สัมผัสความเย็นของแอร์ได้รวดเร็ว รวมถึงผ้าห่ม ไม่ควรห่มผ้าหนา ควรเลือกผ้าบางและเย็น เช่น ผ้าแพร เป็นต้น
  • ลดการใช้งาน ปัจจุบันแอร์ทุกรุ่น สามารถตั้งเวลาปิดได้ ผู้ใช้อาจคำนวณจากเวลาตื่น เช่น ตื่นประมาณ 6 โมงเช้า ให้แอร์ทำงานถึง 5 โมงเช้าก็เพียงพอแล้ว เพราะตอนรุ่งเช้า อากาศภายนอกไม่ร้อนมากนัก เมื่อรวมกับอุณหภูมิภายในห้องที่สะสมความเย็นมาทั้งคืน ความเย็นภายในห้อง ยังเป็นระดับที่กำลังสบายครับ
  • ปิดการใช้งาน อย่างไรก็ตาม วิธีที่จะประหยัดได้ดีที่สุดนั้นคือ ปิดการใช้งาน ข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงห้ามใช้ แต่ให้รู้จักใช้อย่างรอบคอบ คุณผู้อ่านอาจหาพื้นที่พักผ่อนในสวนข้างบ้าน ทดแทนการอยู่ภายในบ้าน หรือหาทำกิจกรรมอื่นๆ มาทำ เช่น ออกกำลังกายนอกบ้านยามเย็น สิ่งเหล่านี้ เป็นการแทรกกิจกรรมมาทดแทน ได้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้อย่างดีเลยครับ

ข้อมูลจาก : banidea.com

Cr. https://energy.mfu.ac.th/slide-energy-pic5.php