Welcome to MNYTECHNIC & SUPPLY.

ที่อยู่ 300/15 หมู่ 7 ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี 20160

Categories
Uncategorized

แผ่นกรองอากาศในแอร์ ช่วยกรอง PM 2.5 ได้หรือไม่?

บทความ

แผ่นกรองอากาศในแอร์ ช่วยกรอง PM 2.5 ได้หรือไม่?

ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในปัจจุบัน การใช้แผ่นกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศจึงเป็นตัวเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่แผ่นกรองอากาศในแอร์สามารถกรอง PM 2.5 ได้หรือไม่? ในบทความนี้เราจะมาไขข้อข้องใจพร้อมแนะนำวิธีการเลือกแผ่นกรองอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งาน

แผ่นกรองอากาศในแอร์คืออะไร?

แผ่นกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศ (Air Filter) มีหน้าที่หลักในการดักจับฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และสารก่อภูมิแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศ เพื่อให้ภายในห้องมีอากาศที่สะอาดและสดชื่นขึ้น

ประเภทของแผ่นกรองอากาศในแอร์

  1. แผ่นกรองหยาบ (Pre-Filter)

    • ดักจับฝุ่นขนาดใหญ่ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ และเศษฝุ่นละอองขนาดใหญ่

    • ไม่สามารถกรอง PM 2.5 ได้

  2. แผ่นกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter)

    • สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน ซึ่งรวมถึง PM 2.5

    • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์

  3. แผ่นกรองคาร์บอน (Activated Carbon Filter)

    • ช่วยดูดซับกลิ่นและสารเคมีที่ปนเปื้อนในอากาศ

    • ไม่สามารถกรอง PM 2.5 ได้โดยตรง แต่ช่วยลดมลพิษทางอากาศอื่น ๆ

  4. แผ่นกรองอากาศไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Air Filter)

    • ใช้ประจุไฟฟ้าในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึง PM 2.5 ได้

    • มีประสิทธิภาพการกรองสูงและสามารถใช้งานซ้ำได้

แผ่นกรองอากาศในแอร์สามารถกรอง PM 2.5 ได้หรือไม่?

คำตอบขึ้นอยู่กับประเภทของแผ่นกรองที่ใช้งาน โดยแผ่นกรอง HEPA และแผ่นกรองอากาศไฟฟ้าสถิตเป็นตัวเลือกที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่แผ่นกรองทั่วไปอาจไม่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

วิธีเลือกแผ่นกรองอากาศที่สามารถกรอง PM 2.5 ได้

หากคุณต้องการแผ่นกรองอากาศที่สามารถดักจับ PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้:

  1. มาตรฐาน HEPA

    • เลือกแผ่นกรองที่ได้รับมาตรฐาน HEPA ระดับ H13 หรือสูงกว่า ซึ่งสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 99.97%

  2. ขนาดและความเข้ากันได้กับแอร์

    • ตรวจสอบขนาดและประเภทของแผ่นกรองให้ตรงกับรุ่นของเครื่องปรับอากาศที่ใช้อยู่

  3. อายุการใช้งาน

    • แผ่นกรองแต่ละประเภทมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ควรเลือกแบบที่เปลี่ยนได้ง่ายและมีอายุการใช้งานยาวนาน

  4. รีวิวและแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ

    • ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่ได้รับมาตรฐานและมีรีวิวจากผู้ใช้งานจริง

คุณสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูงได้ที่เว็บไซต์ www.mnytechnic.com

วิธีดูแลรักษาแผ่นกรองอากาศให้มีประสิทธิภาพ

เพื่อให้แผ่นกรองอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรดูแลและบำรุงรักษาดังนี้:

  1. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเป็นประจำ – ควรล้างหรือเปลี่ยนแผ่นกรองตามคำแนะนำของผู้ผลิต

  2. ตรวจสอบความสะอาดของเครื่องปรับอากาศ – ป้องกันการสะสมของฝุ่นในระบบทำความเย็น

  3. เปลี่ยนแผ่นกรองตามระยะเวลา – โดยทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 3-6 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการใช้งาน

สรุป

แผ่นกรองอากาศในแอร์สามารถช่วยกรอง PM 2.5 ได้ แต่ต้องเป็นแผ่นกรองที่มีมาตรฐาน เช่น แผ่นกรอง HEPA หรือแผ่นกรองอากาศไฟฟ้าสถิต การเลือกแผ่นกรองที่เหมาะสมและดูแลรักษาอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับอากาศที่บริสุทธิ์และปลอดภัยยิ่งขึ้น หากคุณกำลังมองหาแผ่นกรองอ

Categories
Uncategorized

เทคนิคติดตั้งแอร์บ้านให้เย็นเร็วและใช้งานได้นานขึ้น

บทความ

เทคนิคติดตั้งแอร์บ้านให้เย็นเร็วและใช้งานได้นานขึ้น

การติดตั้งแอร์บ้านให้ถูกต้องและเหมาะสมสามารถช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ต่อไปนี้เป็นเทคนิคสำคัญที่ควรพิจารณาในการติดตั้งแอร์บ้าน:


1. เลือกขนาดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง

  • การเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไปจะทำให้ทำงานหนักและสิ้นเปลืองพลังงาน ขณะที่ BTU สูงเกินไปอาจทำให้เกิดความชื้นสะสม

  • วิธีคำนวณขนาด BTU:

    • ห้องขนาดเล็ก (9-12 ตร.ม.) ใช้แอร์ 9,000-12,000 BTU

    • ห้องขนาดกลาง (13-20 ตร.ม.) ใช้แอร์ 12,000-18,000 BTU

    • ห้องขนาดใหญ่ (21-30 ตร.ม.) ใช้แอร์ 18,000-24,000 BTU


2. ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ที่เหมาะสม

  • ไม่ควรติดตั้งแอร์ใกล้แหล่งความร้อน เช่น หน้าต่างที่โดนแดดโดยตรง เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือผนังที่โดนแดดตลอดวัน

  • ติดตั้งแอร์ให้ห่างจากเพดานและกำแพงอย่างน้อย 15 ซม. เพื่อให้ลมสามารถกระจายได้ดีขึ้น

  • ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือบริเวณที่สามารถกระจายลมได้ทั่วถึงห้อง


3. การติดตั้งคอยล์ร้อน (คอมเพรสเซอร์) ให้ถูกต้อง

  • ควรติดตั้งคอยล์ร้อนในที่มีการระบายอากาศที่ดี หลีกเลี่ยงการวางไว้ในที่อับหรือมีแสงแดดจัดตลอดเวลา

  • เว้นระยะห่างระหว่างผนังอย่างน้อย 30 ซม. เพื่อให้ความร้อนสามารถถ่ายเทออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หลีกเลี่ยงการวางคอมเพรสเซอร์ใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อลดผลกระทบจากความร้อนสะสม


4. การเดินท่อน้ำยาแอร์ให้ถูกต้อง

  • ใช้วัสดุท่อคุณภาพดี เช่น ท่อทองแดงที่มีความหนาเหมาะสมเพื่อลดการรั่วซึม

  • เดินท่อให้มีระยะความลาดเอียงที่เหมาะสม เพื่อป้องกันน้ำยาแอร์ไหลย้อนกลับ

  • ห่อหุ้มฉนวนกันความร้อนอย่างดีเพื่อลดการสูญเสียความเย็น


5. การติดตั้งระบบระบายน้ำทิ้ง

  • ควรติดตั้งท่อน้ำทิ้งให้มีการไหลลงอย่างเหมาะสมและไม่มีการอุดตัน

  • หลีกเลี่ยงการต่อท่อน้ำทิ้งไปยังแหล่งที่มีความอับชื้น เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นไม่พึงประสงค์


6. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าให้รองรับกำลังไฟของแอร์

  • ตรวจสอบกำลังไฟและสายไฟให้เหมาะสมกับขนาดของแอร์เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

  • ควรติดตั้งเบรกเกอร์แยกสำหรับแอร์โดยเฉพาะเพื่อความปลอดภัย

  • ตรวจสอบระบบสายดินเพื่อลดความเสี่ยงจากไฟฟ้ารั่ว


7. การตั้งค่าและทดสอบการทำงานหลังติดตั้ง

  • หลังติดตั้งเสร็จ ควรทดสอบระบบโดยเปิดใช้งานแอร์และตรวจสอบความเย็นทั่วถึง

  • ปรับตั้งค่าอุณหภูมิให้เหมาะสมที่ 24-26 องศาเซลเซียส เพื่อประหยัดพลังงานและให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ตรวจสอบเสียงรบกวนและการทำงานของพัดลมว่าปกติหรือไม่


8. การบำรุงรักษาหลังการติดตั้งเพื่อยืดอายุการใช้งาน

  • ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 2-4 สัปดาห์เพื่อให้ลมไหลเวียนสะดวก

  • ตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์เป็นประจำเพื่อให้ระบบทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

  • ควรล้างแอร์โดยช่างผู้เชี่ยวชาญทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค


สรุป

การติดตั้งแอร์บ้านให้เย็นเร็วและใช้งานได้นานขึ้นนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น การเลือกขนาดแอร์ให้เหมาะสม การติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้อง การดูแลระบบไฟฟ้าและการบำรุงรักษาหลังการใช้งาน เพื่อให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : www.mnytechnic.com

Categories
Uncategorized

10 อันดับแอร์บ้านประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ดีที่สุดในปี 2025

บทความ

10 อันดับแอร์บ้านประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ดีที่สุดในปี 2025

การเลือกแอร์บ้านที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านเย็นสบาย แต่ยังช่วยลดค่าไฟในระยะยาวด้วย ในปี 2025 แอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ได้รับความนิยมยังเน้นเทคโนโลยีทันสมัยและการประหยัดพลังงานสูงสุด มาดูกันว่าแอร์บ้านรุ่นไหนติดอันดับบ้าง!


1. Mitsubishi Electric รุ่น Mr. Slim Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยประหยัดไฟมากถึง 30-40%
    • เทคโนโลยี Dual Barrier Coating ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก
    • รองรับการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
  • ขนาด BTU: 9,000 – 24,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนขนาดเล็กถึงกลาง

2. Daikin รุ่น Sabai Plus Inverter

  • จุดเด่น:
    • เทคโนโลยี Smart Inverter ช่วยปรับอุณหภูมิได้แม่นยำ
    • เสียงเงียบ เหมาะสำหรับห้องนอน
    • มีฟังก์ชัน Power Chill ทำความเย็นได้รวดเร็ว
  • ขนาด BTU: 8,500 – 24,200 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดกลางถึงขนาดใหญ่

3. LG รุ่น DualCool Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบ Dual Inverter Compressor ลดการใช้พลังงานได้มาก
    • ฟังก์ชัน UV Nano ช่วยฆ่าเชื้อโรคในอากาศ
    • ดีไซน์ทันสมัยพร้อมหน้าจอแสดงสถานะ
  • ขนาด BTU: 9,000 – 18,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน

4. Samsung รุ่น Wind-Free

  • จุดเด่น:
    • เทคโนโลยี Wind-Free Cooling ส่งลมเย็นแบบนุ่มนวล
    • ฟิลเตอร์ PM 1.0 ช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็ก
    • รองรับการสั่งงานผ่าน Wi-Fi
  • ขนาด BTU: 10,000 – 22,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่มีเด็กเล็กหรือผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้

5. Panasonic รุ่น Nanoe-G Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบ Nanoe-G ช่วยฟอกอากาศและกำจัดแบคทีเรีย
    • ใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ช่วยประหยัดพลังงาน
    • เสียงเงียบ เหมาะสำหรับห้องนอน
  • ขนาด BTU: 9,000 – 22,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น

6. Hitachi รุ่น FrostWash Inverter

  • จุดเด่น:
    • เทคโนโลยี FrostWash ช่วยทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
    • ระบบกรองอากาศที่ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้
    • ประหยัดไฟด้วยอินเวอร์เตอร์ขั้นสูง
  • ขนาด BTU: 9,000 – 18,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่ต้องการความสะอาดและสุขอนามัย

7. Toshiba รุ่น Seiya Inverter

  • จุดเด่น:
    • เทคโนโลยี Quiet Operation เสียงเงียบเพียง 19 เดซิเบล
    • ประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด
    • กรองฝุ่น PM 2.5
  • ขนาด BTU: 9,000 – 24,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องนอนหรือห้องทำงาน

8. Sharp รุ่น J-Tech Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบ J-Tech Inverter ลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
    • ระบบฟอกอากาศ Plasmacluster ช่วยกำจัดเชื้อโรค
    • ฟังก์ชัน Powerful Jet ช่วยให้ห้องเย็นเร็ว
  • ขนาด BTU: 9,000 – 18,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่ต้องการการทำความเย็นเร็ว

9. Gree รุ่น U-Crown Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบ Inverter 2 Stage ช่วยลดพลังงาน
    • ฟังก์ชัน Silent Mode เสียงเงียบเหมาะสำหรับห้องนอน
    • มีระบบกรองอากาศสำหรับฝุ่น PM 2.5
  • ขนาด BTU: 9,000 – 22,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่มีผู้ใช้หลายคน

10. Carrier รุ่น XPower Inverter

  • จุดเด่น:
    • ระบบ XPower Inverter ลดการใช้พลังงานได้มากถึง 30%
    • ระบบฟอกอากาศ Nano Filter ช่วยกรองฝุ่นและกลิ่น
    • ทนทานต่อการใช้งานหนัก
  • ขนาด BTU: 10,000 – 20,000 BTU
  • เหมาะสำหรับ: บ้านที่ต้องการเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานได้ยาวนาน

เคล็ดลับการเลือกแอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5

  1. ตรวจสอบฉลากเบอร์ 5:

    • ยิ่งมีดาวมาก (5 ดาว) ยิ่งประหยัดไฟมากขึ้น
  2. เลือก BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง:

    • ห้องขนาดเล็ก: 9,000-12,000 BTU
    • ห้องขนาดกลาง: 18,000 BTU
    • ห้องขนาดใหญ่: 24,000 BTU
  3. พิจารณาระบบอินเวอร์เตอร์:

    • ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเสถียร
  4. เทคโนโลยีกรองอากาศ:

    • เลือกรุ่นที่มีฟังก์ชันกรองฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโรค
  5. ความสะดวกในการดูแลรักษา:

    • เลือกแอร์ที่มีระบบทำความสะอาดอัตโนมัติ

สรุป

การเลือกแอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ดีที่สุดในปี 2025 ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับการใช้งานในบ้าน ทั้งในด้านขนาด BTU ฟังก์ชันเสริม และประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน เลือกแอร์ที่ตอบโจทย์และช่วยประหยัดค่าไฟในระยะยาวเพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและคุ้มค่า!

Categories
Uncategorized

เทคโนโลยีแอร์ใหม่ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

บทความ

เทคโนโลยีแอร์ใหม่ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นสำคัญของโลก เทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะเจาะลึกเทคโนโลยีใหม่ๆ และวิธีการที่แอร์ช่วยส่งเสริมความยั่งยืน


1. น้ำยาทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • พัฒนาการของน้ำยาทำความเย็น:
    จากน้ำยา R-22 ที่มีผลกระทบต่อชั้นโอโซน สู่น้ำยา R-32 และ R-290 ซึ่งมีค่า Global Warming Potential (GWP) ต่ำกว่า
  • คุณสมบัติของน้ำยา R-32 และ R-290:
    • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    • ประหยัดพลังงานมากขึ้น
    • ใช้ในแอร์สมัยใหม่ที่รองรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

2. ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Technology)

  • การประหยัดพลังงาน:
    ระบบอินเวอร์เตอร์ช่วยปรับการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในห้อง ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 30-50% เมื่อเทียบกับแอร์ธรรมดา
  • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์:
    การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้า

3. เทคโนโลยีเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (Smart Sensors)

  • การตรวจจับความเคลื่อนไหว:
    เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวในห้อง หากไม่มีคนอยู่ แอร์จะปรับการทำงานเป็นโหมดประหยัดพลังงาน
  • การควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ:
    ช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม ลดการทำงานเกินจำเป็น

4. ระบบฟอกอากาศและกรอง PM 2.5

  • การกรองอากาศ:
    แอร์รุ่นใหม่มาพร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5 และระบบกำจัดเชื้อโรค ช่วยลดมลพิษในบ้าน
  • ผลต่อสิ่งแวดล้อม:
    ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องฟอกอากาศแยก ลดการใช้ไฟฟ้าโดยรวม

5. วัสดุและการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • การใช้วัสดุรีไซเคิล:
    ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • การออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน:
    ดีไซน์ที่ช่วยให้การระบายความร้อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar-Powered AC)

  • การใช้พลังงานหมุนเวียน:
    แอร์ที่ทำงานร่วมกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า
  • ลดค่าไฟและรักษาสิ่งแวดล้อม:
    ใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

7. การควบคุมผ่าน IoT และแอปพลิเคชัน

  • ควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน:
    ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาและปรับอุณหภูมิจากระยะไกล ลดการทำงานเกินจำเป็น
  • การบันทึกการใช้พลังงาน:
    ช่วยให้ผู้ใช้ทราบข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและปรับการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ

8. ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม

  • ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้า
  • ลดการใช้น้ำยาแอร์ที่ทำลายชั้นโอโซน
  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน

สรุป

เทคโนโลยีแอร์ที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน ไม่เพียงช่วยให้บ้านเย็นสบาย แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อธรรมชาติ การเลือกใช้แอร์ที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดค่าไฟและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย