Welcome to MNYTECHNIC & SUPPLY.

ที่อยู่ 300/15 หมู่ 7 ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี 20160

Categories
Uncategorized

แอร์พัดลมกับแอร์บ้านต่างกันอย่างไร

แอร์พัดลมกับแอร์บ้านต่างกันอย่างไร​

แอร์พัดลมกับแอร์บ้านความแตกต่างและการเลือกใช้

การเลือกใช้เครื่องปรับอากาศในบ้านหรือสถานที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อความสะดวกสบายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต หนึ่งในคำถามที่ผู้บริโภคมักพบเจอคือการเลือกใช้งานระหว่าง “แอร์พัดลม” และ “แอร์บ้าน” ทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันในหลายด้าน โดยบทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างหลัก ๆ และข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม

แอร์พัดลม (Evaporative Cooler)

แอร์พัดลมหรือที่รู้จักกันในชื่อเครื่องทำความเย็นแบบระเหย (Evaporative Cooler) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานโดยการดูดอากาศภายนอกเข้ามาผ่านแผ่นกรองที่มีน้ำ อากาศจะผ่านแผ่นกรองนี้ทำให้น้ำระเหยและอากาศเย็นลง จากนั้นอากาศเย็นจะถูกส่งเข้ามาภายในห้อง

ข้อดีของแอร์พัดลม:

    1. ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าแอร์บ้าน เนื่องจากไม่ต้องใช้สารทำความเย็นและคอมเพรสเซอร์
    2. เพิ่มความชื้น: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีอากาศแห้ง เพราะสามารถเพิ่มความชื้นในอากาศได้
    3. ราคาประหยัด: ราคาถูกกว่าแอร์บ้านทั้งในด้านการซื้อและการใช้งาน

ข้อเสียของแอร์พัดลม:

    1. ประสิทธิภาพต่ำกว่า: ลดอุณหภูมิได้ไม่มากนัก โดยปกติจะสามารถลดอุณหภูมิได้เพียงไม่กี่องศาเท่านั้น
    2. ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ชื้น: อาจเพิ่มความชื้นในอากาศ ซึ่งไม่เหมาะสมในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงอยู่แล้ว

แอร์บ้าน (Air Conditioner)

แอร์บ้านเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็นในการดูดซับความร้อนจากภายในห้องและปล่อยความร้อนออกไปภายนอก โดยผ่านกระบวนการอัดความร้อน (Compression) และการระบายความร้อน (Condensation)

ข้อดีของแอร์บ้าน:

    1. ประสิทธิภาพสูง: สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการและลดอุณหภูมิได้มากกว่าแอร์พัดลม
    2. ลดความชื้น: ช่วยลดความชื้นในอากาศ ทำให้รู้สึกสบายยิ่งขึ้นในสภาพอากาศร้อนและชื้น
    3. ควบคุมอุณหภูมิได้ดี: มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ

ข้อเสียของแอร์บ้าน:

    1. ใช้พลังงานมาก: มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าแอร์พัดลม เนื่องจากต้องใช้คอมเพรสเซอร์และสารทำความเย็น
    2. ราคาสูง: มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในการซื้อ การติดตั้ง และการบำรุงรักษา

การเลือกใช้

การเลือกใช้ระหว่างแอร์พัดลมและแอร์บ้านขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดพื้นที่ที่ต้องการปรับอากาศ งบประมาณ และความต้องการในเรื่องของความเย็นและความชื้น หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศแห้งและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย แอร์พัดลมอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการความสะดวกสบายในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ แอร์บ้านอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ การพิจารณาและเลือกซื้อควรคำนึงถึงการใช้งานในระยะยาวและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในเครื่องปรับอากาศเหล่านี้

 
Categories
Uncategorized

การทำความสะอาดแอร์บ้าน ควรทำความสะอาดกี่เดือนครั้ง?

การทำความสะอาดแอร์บ้าน ควรทำความสะอาดกี่เดือนครั้ง?

การดูแลรักษาและทำความสะอาดแอร์บ้านเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การทำความสะอาดแอร์ช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และยืดอายุการใช้งานของแอร์ นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของฝุ่นละอองและเชื้อโรคในอากาศภายในบ้าน เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย แล้วควรทำความสะอาดแอร์บ้านบ่อยแค่ไหน? มาดูกัน

1. การทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ (Filter)

ความสำคัญ: แผ่นกรองอากาศเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก หากปล่อยให้แผ่นกรองสกปรก จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและลดประสิทธิภาพการทำงาน
ความถี่: ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 1-2 เดือน เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
วิธีทำความสะอาด: ถอดแผ่นกรองออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดและใช้แปรงขัดเบาๆ หากมีคราบฝังแน่น ใช้น้ำสบู่อ่อนๆ ล้าง แล้วผึ่งให้แห้งก่อนนำกลับไปใส่ในแอร์

2. การทำความสะอาดคอยล์เย็น (Evaporator Coil)

ความสำคัญ: คอยล์เย็นเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนความร้อน หากมีฝุ่นเกาะติดมากจะทำให้การแลกเปลี่ยนความร้อนไม่ดี แอร์ทำความเย็นได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ความถี่: ควรทำความสะอาดคอยล์เย็นทุก 6 เดือน เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของแอร์
วิธีทำความสะอาด: การทำความสะอาดคอยล์เย็นอาจต้องใช้บริการจากช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากต้องถอดชิ้นส่วนบางส่วนออกมาและใช้เครื่องมือพิเศษในการล้าง

3. การทำความสะอาดคอยล์ร้อน (Condenser Coil)

ความสำคัญ: คอยล์ร้อนเป็นส่วนที่ระบายความร้อนออกสู่ภายนอก หากมีฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะติดจะทำให้การระบายความร้อนไม่ดี
ความถี่: ควรทำความสะอาดคอยล์ร้อนทุก 6 เดือน เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีทำความสะอาด: ใช้แปรงหรือน้ำฉีดล้างทำความสะอาดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนคอยล์ร้อน ระวังไม่ให้แรงดันน้ำสูงเกินไปจนทำให้คอยล์เสียหาย

4. การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า

ความสำคัญ: การตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แอร์ที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าหรือการทำงานผิดปกติของแอร์
ความถี่: ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
วิธีทำความสะอาด: การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าควรทำโดยช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานของแอร์

5. การล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำ

ความสำคัญ: ท่อระบายน้ำมีหน้าที่ระบายน้ำที่เกิดจากการควบแน่น หากท่อระบายน้ำอุดตันจะทำให้น้ำล้นออกมาจากแอร์และอาจทำให้เกิดความเสียหาย
ความถี่: ควรล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำทุก 6 เดือน
วิธีทำความสะอาด: ใช้แรงดันน้ำล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำ หรือใช้น้ำยาล้างท่อที่สามารถซื้อได้ทั่วไป

สรุป

การทำความสะอาดและบำรุงรักษาแอร์บ้านเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน การทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 1-2 เดือน คอยล์เย็นและคอยล์ร้อนทุก 6 เดือน และการตรวจสอบระบบไฟฟ้าปีละครั้งเป็นการดูแลรักษาที่แนะนำ หากไม่มั่นใจในวิธีการทำความสะอาด ควรใช้บริการจากช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของแอร์

Categories
Uncategorized

เลือกแอร์บ้านยังไงให้เหมาะกับน้องนอน​

การเลือกแอร์บ้านที่เหมาะกับห้องนอนของคุณถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากการนอนหลับที่ดีมีผลต่อสุขภาพและการทำงานในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะช่วยให้คุณเลือกแอร์บ้านที่เหมาะกับห้องนอนของคุณโดยพิจารณาจากหลายปัจจัยสำคัญ

1. ขนาดของห้องนอน

ขนาดของห้องนอนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกขนาดของแอร์ คำนวณขนาด BTU (British Thermal Unit) ของแอร์ที่เหมาะสมกับห้องนอนของคุณ โดยทั่วไป ขนาด BTU ที่แนะนำมีดังนี้:

    • ห้องขนาดเล็ก (9-12 ตร.ม.): 9,000 BTU
    • ห้องขนาดกลาง (13-18 ตร.ม.): 12,000 BTU
    • ห้องขนาดใหญ่ (19-25 ตร.ม.): 18,000 BTU

การเลือก BTU ที่เหมาะสมจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป

2. ประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน

เลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน เช่น แอร์ที่มีฉลากเบอร์ 5 หรือแอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Inverter ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและรักษาอุณหภูมิในห้องได้คงที่ ลดค่าไฟฟ้าและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน

3. ความเงียบสงบ

ห้องนอนเป็นสถานที่ที่ต้องการความเงียบสงบเพื่อการนอนหลับที่ดี เลือกแอร์ที่มีระดับเสียงต่ำ (ไม่เกิน 30 เดซิเบล) เพื่อไม่ให้เสียงของแอร์รบกวนการนอน

4. ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมที่เหมาะกับการนอน

แอร์บางรุ่นมีฟังก์ชั่นเพิ่มเติมที่ช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้น เช่น

    • Sleep Mode: ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการนอนหลับ
    • Timer: ตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์อัตโนมัติตามความต้องการ
    • Air Purifier: ระบบฟอกอากาศช่วยลดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้

5. ความสะอาดและการบำรุงรักษา

เลือกแอร์ที่สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและมีฟิลเตอร์ที่สามารถถอดออกมาล้างได้เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค

6. การรับประกันและบริการหลังการขาย

เลือกแอร์จากแบรนด์ที่มีการรับประกันที่ดีและมีบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการช่วยเหลือเมื่อมีปัญหากับแอร์

สรุป

การเลือกแอร์บ้านสำหรับห้องนอนควรพิจารณาจากขนาดห้อง ประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน ความเงียบสงบ ฟังก์ชั่นเพิ่มเติม ความสะอาด และการรับประกัน โดยการคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแอร์ที่เหมาะสมและเพิ่มความสบายในการนอนหลับของคุณได้

หากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกแอร์บ้าน สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือร้านขายแอร์ที่น่าเชื่อถือเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้

Categories
Uncategorized

ติดตั้ง พัดลมดูดอากาศโรงงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้

การจัดตั้งโรงงานนั้นจำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับพนักงานผู้ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ด้วย ไม่เพียงแต่ความปลอดภัยทางด้านกายภาพอย่างมาตรการการใช้งานเครื่องจักร อุปกรณ์ และการจัดการวัตถุดิบ แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยทางด้านสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน โดยในเรื่องของอุณหภูมินั้นได้ถูกกล่าวถึงใน ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการประกอบกิจการโรงงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการทำงาน พ. ศ. 2546 และกฎกระทรวงเรื่องกำหนดมาตรฐานในการบริหาร และจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2549

โดยมีมาตรฐานเขียนไว้เกี่ยวกับอุณหภูมิในสภาวะการทำงานต่างๆ รวมถึงระดับแสงสว่าง และเสียงต้องอยู่ในเกณฑ์ หากทำตามไม่ได้ต้อง ประกาศเป็นพื้นที่อันตรายต่อสุขภาพ และตั้งกฎเกณฑ์การทำงานใหม่ รวมถึงมาตรการเกี่ยวกับการแต่งกายด้วย ซึ่งระดับที่กล่าวถึงก็จะสามารถแบ่งออกตามลักษณะงาน คือ

    • งานเบา – หมายถึงงานที่มีการเผาผลาญพลังกายน้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง ต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่า 34 องศาเซลเซียส
    • งานหนักปานกลาง – หมายถึงงานที่มีการเผาผลาญพลังกายระหว่าง 200-350 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง ต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่า 32 องศาเซลเซียส
    • งานหนัก – หมายถึงงานที่มีการเผาผลาญพลังกายมากกว่า 350 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง ขึ้นไป ต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส

ความสำคัญของ พัดลมดูดอากาศโรงงาน

นอกจากความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานแล้ว พัดลมดูดอากาศยังมีฟังก์ชันอื่นๆ ที่ช่วยให้สภาพแวดล้อมในโรงงานของคุณดีขึ้นอีกด้วย โดยข้อดีแต่ละข้อ ก็จะมีดังต่อไปนี้

    • นำความร้อน และกลิ่นไม่พึงประสงค์ออก – กลิ่นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงาน เพราะภายในโรงงานนอกเหนือจากจะมีอุณหภูมิสูงจากเครื่องจักร และการทำงานแล้ว กลิ่นก็อาจส่งผลต่ออารมณ์ และความรู้สึกตอนทำงานของพนักงาน รวมทั้งความร้อนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร อาจก่อความเสียหาย และลดอายุการใช้งานลงได้
    • เพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ – อากาศในโรงงานมักปนเปื้อนไปด้วยมลพิษ ฝุ่น และสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต การหมุนเวียนอากาศสามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป และแทนที่ด้วยอากาศบริสุทธิ์ภายนอกได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สุขภาพของพนักงงานปลอดภัยแล้ว ยังช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ เช่น แก๊สระเบิด หรือเพลิงไหม้จากการสะสมของสารอันตรายได้อีกด้วย
    • ลดค่าใช้จ่ายในโรงงาน – หลายคนอาจสงสัยว่า การติดตั้งพัดลมจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างไร ซึ่งตอบได้เลยว่า สามารถลดได้หลายส่วนไม่ว่าจะเป็น ค่ารักษาพยาบาลของพนักงานที่เกิดจากการทำงาน ค่าพลังงานที่ใช้ในการปรับอากาศ ค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ลดค่าบำรุงรักษา และทำความสะอาดพื้นที่ และเครื่องจักร ซึ่งจะยิ่งคุ้มค่าเมื่อติดตั้ง และคำนวณผลลัพธ์เหล่านี้ในระยะยาว

ควรเลือก พัดลมดูดอากาศโรงงาน อย่างไร?

หลังจากทราบข้อดีกันไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจยังมีข้อสงสัยว่าแล้ว พัดลมดูดอากาศโรงงานในท้องตลาดนั้นมีตัวเลือกให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนาดใบพัด วัสดุ รอบการหมุน ฯลฯ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเลือกซื้อตัวไหน โดยวิธีการเลือกนั้นก็จะมีปัจจัยให้ตัดสินใจไม่กี่ปัจจัย ดังนี้

    1. ก่อนอื่นต้องดูที่ จุดประสงค์การใช้งาน ว่าต้องการติดตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาอะไร มีขนาดพื้นที่เท่าไหร่ ต้องการระบายมลพิษในปริมาณเท่าใด เพื่อเป็นหนึ่งในลักษณะที่สำคัญในการเลือกรุ่น และประเภทของพัดลมระบายอากาศในขั้นตอนถัดไป
    2. เลือกประเภทของพัดลมระบายอากาศให้เหมาะสม ในปัจจุบันมีตัวเลือกพัดลมให้เลือกมากมาย เช่นรุ่นที่มีการเปิดโล่งแบบธรรมดา รุ่นที่มีกริลเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอม หรือรุ่นที่ใช้ลมธรรมชาติ ไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นต้น
    3. คำนวณพื้นที่ และเลือกรุ่นที่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยในแต่ละรุ่นก็จะบอกปริมาณการระบายอากาศ/ชั่วโมง เพื่อให้ทราบได้ว่าพัดลมตัวหนึ่งจะเหมาะกับพื้นที่ขนาดเท่าไหร่
    4. ปัจจัยอื่นๆ เช่น เสียงของพัดลม มาตรฐานสินค้า ลักษณะรูปลักษณ์ ยี่ห้อ และราคา ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวเลือกด่านสุดท้ายที่จะนำคุณไปสู่พัดลมที่เหมาะสม และถูกต้องกับโรงงานของคุณมากที่สุด

หน้าที่หลักของ พัดลมดูดอากาศโรงงาน ขนาดใหญ่

สำหรับหน้าที่หลักของพัดลมดูดอากาศขนาดโรงงานอุตสาหกรรมนั้น เราจะสามารถเห็นการใช้งานได้ทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โกดังเก็บสินค้า หรือฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะกับพื้นที่ที่มีการออกแบบให้เป็นระบบปิด และถ่ายเทอากาศได้ไม่สะดวก พัดลมเหล่านี้จะทำการดูดนำเอาอากาศภายในออกสู่ภายนอก และแทนที่ด้วยอากาศชุดใหม่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า รวมถึงอากาศเหล่านี้จะถูกกรองผ่านตัวกรอง ทำให้มีความบริสุทธิ์ และปลอดภัย

เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบอากาศภายในกับภายนอกเมื่อใช้พัดลมดูดอากาศแล้ว จะมีอุณหภูมิแตกต่างกันระหว่าง 4-15 องศา ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมภายนอก และปัจจัยอื่นๆ ตามฤดูกาล โดยในวันนี้เราได้นำเอาพัดลมดูดอากาศในระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้งานได้ดีกับหลายๆ พื้นที่มาฝากทุกท่านกัน

    • รุ่นบานเกล็ด-ตะแกรงหลัง พัดลมฟาร์มขนาดใหญ่ มีปริมาณการระบายอากาศที่ 8,000 – 44,500 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง มีขนาดให้เลือกใช้หลายขนาด ใบพัดทำจากอลูมิเนียมคุณภาพดี แข็งแรง และเสียงเงียบเมื่อเปิดใช้งาน
    • รุ่นตะแกรงหน้า-หลัง เป็นรุ่นที่มีการติดตั้งตะแกรงทั้งด้านหน้า และด้านหลังของใบพัด ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ใบพัด ติดตั้งง่าย เหมาะกับโรงงาน ฟาร์มเกษตร หรือโกดังสินค้า ที่มีฝุ่นละอองในพื้นที่เยอะ หรือกระบวนการผลิตที่มีฝุ่นมาก

 

Categories
Uncategorized

มารู้จักน้ำยาแอร์กันว่ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร?

มารู้จักน้ำยาแอร์กันว่ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร?

น้ำยาทำความเย็น (Refrigerant) หรือ สารทำความเย็น ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “น้ำยาแอร์” เป็นสารเคมีที่อยู่ในแอร์เพื่อสร้างความเย็นให้กับห้องของคุณ โดยน้ำยาแอร์ปัจจุบันที่ยังใช้กันอยู่หลักๆ ในประเทศไทยมี 3 ประเภทด้วยกันคือ R22 , R410A และ R32 ซึ่งน้ำยาแอร์แต่ละตัวนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยการเลือกใช้จะต้องคำนึงถึงค่า ODP (ดัชนีวัดการทำลายโอโซน), GWP (ดัชนีชี้วัดผลกระทบภาวะโลกร้อน), Cooling Capacity (ประสิทธิภาพการทำความเย็น) ซึ่งแต่ละค่ามีผลต่อการทำความเย็นและสภาพแวดล้อม เรามาดูข้อดีและข้อเสียแต่ละชนิดกันเลย

1. สารทำความเย็น R22

สารทำความเย็น R22 เป็นน้ำยารุ่นที่เก่าที่สุด และถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นิยมนำมาใช้กับแอร์ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งมีคุณสมบัติคือ ไม่มีพิษ ไม่มีกลิ่น และความถ่วงจำเพาะของสารในสถานะก๊าซจะหนักกว่าอากาศโดยที่สารเหล่านี้จะมีจุดเดือดที่ต่ำกว่า สารทั่วไป จึงถูกนำมาใช้ในการทำความเย็น โดยที่สารทำความเย็นที่มีจุดเดือดต่ำจะถูกใช้ในการทำความเย็นที่อุณหภูมิต่ำ และสารทำความเย็นที่มีจุดเดือดสูงจะถูกใช้ในทำความเย็นที่อุณหภูมิสูง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

มีค่า ODP = 0.05 ค่า GWP = 1810 และมีค่า Cooling Capacity = 100

ข้อดีของสารทำความเย็น R22

– สาร R22 ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์
– สาร R22 ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A1 คือ เป็นสารที่ไม่ติดไฟ จึงมีความปลอดภัยในการใช้งาน

ข้อเสียของสารทำความเย็น R22

– สาร R22 มีค่า ODP สูง ซึ่งส่งผลต่อการทำลายชั้นโอโซนสูง
– สาร R22 มีค่าที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก
– สาร R22 หากรั่วออกมาสู่อากาศจำนวนมากจะส่งผลอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

2. สารทำความเย็น R410A

สารทำความเย็นที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ทดแทน R22 เป็นหนึ่งในหลายสารทดแทน R22 ซึ่งมีความโดดเด่นมากที่สุด มันถูกออกแบบเพื่อใช้กับระบบของตัวมันเองโดยเฉพาะ และให้ความสามารถในการทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 40% แต่มีข้อด้อยเพียงนิดคือไม่สามารถใช้ได้กับระบบน้ำยา R22 ได้ ซึ่งน้ำยา R410A มีความสามารถในการทำความเย็นที่ให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นสูง ประหยัดพลังงานบำรุงรักษาง่าย ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ ใช้งานได้นานปี และน้ำยา R410A ยังเป็นการประยุกต์ข้อดีของสารทำความเย็น ในระบบเครื่องทำความเย็นมาใช้กับเครื่องปรับอากาศในอาคาร ด้วยอาศัยหลักการนำความร้อนได้เร็ว ดังนั้น เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศจึงไม่แปลกเลยถ้า R410A จะทำความเย็นได้เร็วและเฉียบกว่า R22

มีค่า ODP = 0 มีค่า GWP = 2090 และมีค่า Cooling Capacity = 141

ข้อดีของสารทำความเย็น R410A

– เป็นน้ำยาที่คิดค้นมาทดแทน R22
– ประสิทธิภาพการทำความเย็นที่ดีกว่า จึงทำให้กินไฟน้อยลง
– เป็นสารทำความเย็นที่ไม่ติดไฟ
– มีค่า ODP ไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ

ข้อเสียของสารทำความเย็น R410A


– ราคาต่อกิโลกรัมสูงกว่า R22 ค่อนข้างมาก
– มีค่า GWP สูง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
– กรณีที่น้ำยาเกิดรั่วในระบบเครื่องปรับอากาศ R-410A ต้องถ่ายทิ้งให้เป็นศูนย์ แล้วจึงเติมเข้าไปใหม่อีกรอบ ไม่สามารถเติมเพิ่มจากเดิมเข้าไปได้

3. สารทำความเย็น R32

สารทำความเย็น R32 เป็นสารทำความเย็น รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดการปล่อยสาร CFC ที่ทำลายชั้นบรรยากาศ ซึ่งสารทำความเย็น R32 นี้ มีประสิทธิภาพการทำความเย็นสูง มีคุณสมบัติที่นอกจากไม่ทำลายชั้นโอโซนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นปัจจุบัน R410A ถึง 3 เท่า และยังให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60%

มีค่า ODP = 0 มีค่า GWP = 675 และมีค่า Cooling Capacity = 160

ข้อดีของสารทำความเย็น R32


– สาร R32 ใช้สารทำความเย็นน้อยกว่าสารรุ่นเดียวกัน
– จุดเดือดของน้ำยา R32 มีค่าต่ำ ทำให้คอมเพลสเซอร์ทำงานเบาสุด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำความเย็นดีและเร็วกว่า R22 และ R410A
– ประหยัดพลังงานมากที่สุด
– ราคาถูก และไม่มีสารทำลายโอโซน

ข้อเสียของสารทำความเย็น R32

– สาร R32 จัดอยู่ในกลุ่ม A2 ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้เล็กน้อย ต่างจากสารชนิดอื่นที่อยู่ในกลุ่ม A1 แต่การที่สาร R32 จะติดไฟได้นั้น ต้องอาศัยความเข้มข้นของน้ำยาพอสมควร หากน้ำยามีความเข้มข้นน้อยก็จะติดไฟได้น้อย หากเข้มข้นมากก็จะติดไฟได้มาก จึงให้นำมาใช้ในแอร์ขนาดเล็กที่ต่ำกว่า 24000 บีทียู

สรุป

ในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้หันมาใช้ น้ำยาแอร์ชนิด R32 มากขึ้น และเลิกใช้น้ำยา R22 ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สาร R22 อีกทั้งสารทำความเย็น R32 ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นในปัจจุบัน อย่างสาร R410A ถึง 3 เท่า และยังมีประสิทธิภาพทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60% แต่สำหรับแอร์ที่ยังใช้น้ำยา R22 อยู่ ก็ยังสามารถใช้ได้เหมือนเดิม